วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีทำโยเกิร์ต

ส่วนที่จะให้แสดง ส่วนผสมสำหรับโยเกิร์ตประมาณ 500 ml.
1. นมสดพาสเจอร์ไรส์ หรือนม UHT เป็นแบบธรรมดา หรือพร่องไขมันก็ได้ 425 g. หรือ 2 ถ้วยตวง
2. นมผงแบบนมผงธรรมดาหรือนมผงขาดมันเนย 75 g. หรือ 5 ช้อนโต๊ะ
3. โยเกิร์ตถ้วยรสธรรมชาติ 75 g. หรือครึ่งถ้วยโยเกิร์ต


ส่วนที่เหลือ วิธีการทำ
1. ตุ๋นนมในหม้อตุ๋น หรือใช้หม้อสองใบซ้อนกัน ใบนอกใส่น้ำต้มให้น้ำเดือดและใบในใส่นม (เพื่อไม่ให้นมไหม้)
2. พอนมเริ่มอุ่น ละลายนมผงลงในน้ำนม
3. ให้ความร้อนกับน้ำนมที่อุณหภูมิ 95C เป็นเวลา 5 นาที ถ้าไม่มีที่สัดอุณหภูมิให้ดูลักษณะของน้ำนมที่ร้อนจนคล้ายนมใกล้เดือดแล้วจับเวลา
4. ยกลง ลดความร้อนของน้ำนมลงโดยใช้น้ำเย็นไหลผ่านด้านนอกของภาชนะที่ใช้ต้มนม หรือแช่ในน้ำแข็ง จนอุณหภูมิของนมอยู่ที่ประมาณ 45C หรืออุ่นพอที่จะทนได้เมื่อทดสอบโดยการหยดนมลงบนหลังมือ
5. เติมโยเกิร์ตรสธรรมชาติลงไปในน้ำนม คนเบา ๆ ให้เข้ากัน
6. ปิดฝา บ่มทิ้งไว้ที่อุณหภูมิ 43C เป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง ถ้าไม่มีตู้บ่มสามารถใช้กล่องโฟมหรือกล่องที่สามารถเก็บความร้อนได้ใส่น้ำนมนั้นและบ่มเป็นเวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง หรือบ่มไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 8-10 ชั่วโมง จนกว่าจะได้เนื้อโยเกิร์ตที่เปรี้ยมตามที่ต้องการที่มา : โดย อาจารย์ พรหล้า ขาวเธียรภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

Read More

หลวงพระบาง

ส่วนที่จะให้แสดง หลวงพระบาง หลวงพระบางในอดีต เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลาวมาช้านาน เนื่องจากเคยเป็นเมืองหลวงที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตหลายพระองค์ ความรุ่งเรืองของศิลปวัฒนธรรมในอดีตยังคงปรากฏให้เห็นแม้ในช่วงเวลาปัจจุบัน กาลเวลาที่ผ่านไป ไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนลาวที่นี่มากมายนัก ด้วยเคยเป็นพื้นที่ ที่เข้าถึงได้ยากมาก่อน คนลาวยังโอบอ้อมอารี สุภาพ นิ่มนวลและเป็นมิตร เสน่ห์ของเมืองที่ยากจะหาที่ไหนในโลกมาเทียบได้ หลวงพระบาง เป็นเมืองที่อุดมด้วยสถาปัตยกรรมอันวิจิตรของวัดวาอาราม บ้านเรือนเก่าแก่สไตล์โคโลเนียล สถาปัตยกรรมที่สวยงามมีเสน่ห์ของยุคอาณานิคม และการวางผังเมืองที่ฉลาด ซึ่งทำให้เมืองหลวงพระบางกลมกลืนเข้ากับสภาพภูมิประเทศที่ถูกห้อมล้อมด้วยขุนเขาโดยรอบ และการที่เมืองตั้งอยู่ริมสายน้ำโขงและสายน้ำคานที่ไหลมาบรรจบกัน ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามของป่าเขา การเข้าถึงจากโลกภายนอกในอดีตจึงทำได้ไม่ง่ายนัก ชาวหลวงพระบางจึงยังคงสามารถดำรงขนบธรรมเนียมประเพณีที่เก่าแก่เอาไว้ ความเรียบง่ายของวิถีชีวิต รอยยิ้มที่เป็นมิตรของผู้คน ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา ยังเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ อีกทั้ง หลวงพระบางยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องของความสวยงามและจำนวนวัดเก่าแก่ที่มีอยู่มากมายมาตั้งแต่สมัยโบราณ รวมถึงการที่ผู้คนยังสามารถดำรงขนบประเพณีวัฒนธรรมอันงดงามไว้ได้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้เอง ทำให้หลวงพระบางยังเปี่ยมด้วยลมหายใจของเมืองมรดกโลกที่น่าหลงใหลสำหรับผู้มาเยือนเสมอ

ส่วนที่เหลือ หลวงพระบาง หรืออาณาจักรล้านช้างในอดีต ได้รับการแต่งตั้งจากยูเนสโก ให้เป็นเมืองมรดกโลก ด้วยเหตุผลคือมีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย และมีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์โคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมน้ำโขงและน้ำคาน ซึ่งไหลบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม และ ชาวหลวงพระบางมีบุคลิกที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงาม หลวงพระบาง จึงได้รับการยกย่องและขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก จากองค์การยูเนสโกในเดือน ธันวาคม พ.ศ.2538
ประวัติหลวงพระบางในอดีตหลวงพระบางเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของลาวมาก่อนกรุงเวียงจันทน์ ตั้งแต่เมื่อครั้งอาณาจักรล้านช้าง ประวัติศาสตร์ของลาว มีความเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้า (ตาลีฟู) ที่อยู่ในมณฑลหยุนหนานของจีน ขุนบรมราชาธิราช (พีล้อโก๊ะ) แห่งหนองแสมีโอรส 7 องค์ แยกย้ายไปครองเมืองต่างๆทั่วสุวรรณภูมิ ต่อมาโอรสองค์โตนาม ขุนลอ (โก๊ะล่อฝง) ได้เป็นกษัตริย์แล้วยกทัพมาตีเมืองชวาใน ค.ศ. 757 เปลี่ยนชื่อเมืองชวาเป็นนครเชียงทอง และมีกษัตริย์ครองเมืองเชียงทองสืบมาอีก 22 พระองค์ต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าฟ้างุ้ม พระองค์ได้รวบรวมแว่นแคว้นต่างๆของชนเผ่าไท-ลาวในเขตบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำคาน และแม่น้ำอู เพื่อก่อตั้งขึ้นเป็นอาณาจักรล้านช้างในระหว่าง ปี พ.ศ.1896-1916 ณ ดินแดนริมโขง ซึ่งปัจจุบันก็คือบริเวณหลวงพระบาง โดยความช่วยเหลือของกษัตริย์ขอม เนื่องจากมเหสีของเจ้าฟ้างุ้มคือ พระนางแก้วเก็งยา เป็นพระธิดาของกษัตริย์ขอมในขณะนั้น ดินแดนขอมในสมัยนั้น มีการรับนับถือศาสนาพุทธ และคติความเชื่อทางพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองแล้ว ในขณะที่ลาวยังคงนับถือผีกันอยู่ ในรัชสมัยของพระเจ้าฟ้างุ้ม จึงมีการถ่ายทอดและรับเอาศาสนาพุทธเข้ามาแทนการนับถือผีเชื่อว่า เดิมทีเดียวอาณาจักรล้านช้างมีชื่อเรียกว่า “เมืองชวา” ด้วยมีชาวชวามาอาศัยอยู่มากกว่ากลุ่มอื่น แต่ใน ปี พ.ศ.1900 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “เมืองเชียงทอง” จนกระทั่งกษัตริย์ขอมได้พระราชทานพระพุทธรูปองค์หนึ่งชื่อ “พระบาง” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศิลปะสิงหล ให้กับอาณาจักรล้านช้าง เจ้าฟ้างุ้มจึงเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “หลวงพระบาง” ต่อมา ในปี พ.ศ.2088 พระเจ้าโพธิสารราชเจ้าได้โปรดให้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์แทน หลวงพระบางจึงไม่ได้เป็นเมืองหลวงของลาวอีกต่อไป ในช่วงยุคสมัยต่อมา อาณาจักรล้านช้างได้แตกออกเป็น 3 อาณาจักร คือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ และอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างยังคงสืบทอดราชบัลลังก์มาจนถึงยุคสิ้นสุดราชวงศ์ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการตกเป็นเมืองขึ้นของเมืองสยามในขณะนั้น รวมถึงประเทศเวียดนามและฝรั่งเศส
หลวงพระบาง จึงมีประวัติความเป็นมายาวนาน เป็นราชธานีเก่าแก่ มีวัดวาอารามมากมาย มีบ้านเรือนเก่าเป็นเอกลักษณ์ในรูปแบบโคโลเนียลสไตล์แบบตะวันตก ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน และโอบกอดให้ตัวเมืองอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งชาวหลวงพระบางยังมีบุคลิกที่เป็นมิตร โอบอ้อมอารี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีวิถีชีวิตและประเพณีที่งดงามและยังไม่สุญสลายไปตามกาลเวลา

Read More

ประวัติของตลาด 3 ชุก ( ตลาด 100 ปี )

ส่วนที่จะให้แสดง ตำนานสามชุก 100 ปี
ถ้าพูดถึงตลาดสมัยนี้ หลาต่อหลายที่มักนิยมสร้างเป็นตึกอาคาร หรือบางที่ก๊ติดแอร์หรูหรา
ภาพตลาดที่เป็นห้องแถวไม้ริมน้ำ อย่างเช่น สมัยปู่ย่าตายายเราคงเหลืออยู่ไม่กี่ที่ ถึงแม้ว่าความเจริญ
ในปัจจุบันจะทำให้ตลาดหลายต่อหลายที่เปลี่ยนแปลง แต่เราก๊ยังสามารถชมตลาดเก่า ๆ ที่เป็นห้องแถวไม้ 2
ชั้นได้ โดยเฉพาะตามต่างจังหวัด อย่างเช่น " ตลาด 100 ปี สามชุก " อ. สามชุก จ. สุพรรณบุรี

ส่วนที่เหลือ สามชุก เป็นตลาดห้องแถวไม้ 2 ชั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี ( ท่าจีน ) และรายล้อมด้วยบรรยากาศ
บ้านเรือนรวมถึงเรื่องราวของผู้คนในอดีต โดยแทปจะไม่มีการดัดแปลงเสริมแต่ง ย้อนอดีตกลับไปยุคสมัยที่
ตลาด สามชุกเฟื่องฟู ยุดนั้นชาวบ้านจะนำของพื้อนเมือง รวทั้ง เกลือ ฝ้าย แร่ สมุนไพร มาแลกเปลี่ยนซื้อขาย
ให้กับพ่อค้าที่เป็นชาวเรือ ค่อมาเมื่อริมแม่น้ำสุพรรณ กลายเป็นแหล่งทำนาที่สำคัญ มีโรงสีไฟขนาดใหญ่เกิดขึ้น
หลายแห่งตลาดสามชุกก็กลายเป็นตลาดข้าวที่สำคัญ มีการค้าขายกันอย่างคึกคัก โดยแต่ละปี มีการเก็บภาษีได้
จำนวนมาก พร้อม ๆ กับมีการตั้ง นายอากร คนแรก ชื่อ " ขุนจำนง จีนารักษ์ "

Read More

5 ขั้นตอน ง่ายๆ สู่ผิวสวยใส

ส่วนที่จะให้แสดง
1.ขัดผิว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ขัดลอกที่อ่อนโยนต่อผิว ควรขัดลอกผิวอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
2.เพิ่มความชุ่มชื้น ถ้าผิวแห้ง ควรทาด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ และใช้ครีมที่มีความมันมากในเวลากลางคืน ถ้าผิวมันควรทามอยเจอร์ไรเซอร์ 2-3 นาทีก่อนแต่งหน้า
ส่วนที่เหลือ
3.เอามือให้ห่างจากหน้า อย่าเอามือจับขนตา เท้าคาง เพราะอาจจะเพิ่มความสกปรกให้กับหน้าโดยไม่จำเป็น
4.ทำความสะอาดใบหน้า สำหรับคนที่แต่งหน้าเมื่อเสร็จจากงาน ควรล้างหน้าทันที
5.เมื่อเป็นสิว ถ้าคุณเป็นสิวมากแนะนำให้ไปหาแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ อย่าจัดการปัญหาสิวด้วยตัวเองนะคะ

Read More

วิธีลดนำ้ำหนัก ''


ความอ้วน ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น ดังนี้

- อายุขัยสั้นกว่าคนน้ำหนักปกติถึง 10% - 100%
- มีโอกาสเป็นเบาหวานมากกว่าคนปกติ 57 เท่า
- ความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติ 3 เท่า
- นิ่วในถุงน้ำดี 2-3 เท่าของคนทั่วไป
- มีโอกาสเป็นโรคหัวใจ และโรคไตเพิ่มขึ้น
- โรคปอดเพิ่มขึ้น
- เวลาจะผ่าตัด ก็มีอัตราเสี่ยงสูง
- ปวดหัวเข่าเนื่องจากการรับน้ำหนัก
- ปวดข้อเท้าหรือปวดหลัง

เทคนิควิธีลดน้ำหนักแบบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่พยามยามลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาลและไขมัน และไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจทำให้คุณรับประทานอาหารมื้อถัดไปมากขึ้น ที่สำคัญควรรับประทานประเภทผักใบเขียว เพราะจะมีใยอาหาร อยู่มาก

2. พยายามดื่มน้ำก่อนอาหาร เพื่อถ่วงกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือเลือกรับประทานใยอาหารก่อนอาหารประมาณครั้งชั่วโมงแทน

3. เพื่อผลทางจิตวิทยา ควรใช้ภาชนะเล็กลง โดยมีปริมาณอาหารเท่าเดิมเพื่อให้ดูว่ามีอาหารมากขึ้น และควรใช้ ช้อนขนาดเล็กเพื่อจะได้รับประทานช้าลง ที่สำคัญควรฝึกเคี้ยวช้า ๆ จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น

4. หาเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมมากขึ้น มักมีความเชื่อผิด ๆ กันว่า การออกกำลังกายมากขึ้นจะทำให้หิวเร็ว และรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมักขจัด ความเบื่อนี้ด้วยการรับประทาน การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีช่วยลดความเบื่อหน่าย และเพิ่มการใช้พลังงาน เพื่อเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง

5. สร้างสิ่งจูงใจ หรือทัศนคติดี ๆ ต่อพฤติกรรมใหม่ ๆ เช่น การเขียนข้อความเกี่ยวกับการลดความอ้วน หรือชุดสวย ๆ ในสมัยก่อนที่เคยใส่ได้ เพื่อให้เห็นถึงเป้าหมาย และสามารถกระตุ้นหรือจูงใจให้มีความพยายามมากขึ้น และที่สำคัญ ที่สุด พยายามพักผ่อนให้มาก ๆ ไม่มีประโยชน์เลย ถ้ามีรูปร่างที่สวยงามอย่างที่ต้องการ แต่ต้องอาศัยอยู่ ในโรงพยาบาล เนื่องจากสุขภาพไม่ดี

Read More

4 สูตรทำหน้าใสได้ด้วยตัวเอง ''


1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า ให้คุณล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด จากนั้นนำแอปเปิ้ลที่ยังไม่ปลอกเปลือกครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก

2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส
ให้นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด จากนั้นก็มะนาวมาคั้นเอาแต่น้ำประมาณ 1 ช้อนชาใส่ลงไป แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก

3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน นำโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะมาผสมกับมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ประมาณ 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ นำโยเกิร์ต 1 ถ้วย แล้วผสมกับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า แล้วขัด ๆ ถู ๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี คล้ายๆ กับการสครับหน้านั่นเอง

Read More

10 วิธีนอนหลับให้สบาย ^^''


  1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย

  2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวล ที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อย เพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก

  3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า

  4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน

  5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่าย

  6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล

  7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน

  8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น

  9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว

  10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว

Read More

จากเส้นเสียง...สู่ลายเส้นลายการ์ตูน - - ราตรีสวัสดิ์ *


... ฟังเพลงแล้วดูภาพไปด้วยนะคะ ...




























Read More

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

คนดีที่โลกรอ หมอโฮจุน



โฮจุน เป็นบุตรของเจ้าเมืองยองชอน แต่แม้ว่าโฮจุนจะเกิดมามีบิดาอยู่ในฐานะสูง โฮจุนกลับมีมารดาอยู่ในฐานะไพร่ จึงทำให้เขามีฐานะที่ต่ำต้อยไม่ต่างจากมารดา เขาต้องอดทนกับการปฏิบัติที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม และการกีดกันชั้นวรรณะ จากความกดดันนี้เองทำให้เค้าปฏิบัติตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ชอบต่อยตี เรื่อยไปจนกระทั่งถึงการค้าของเถื่อน และในช่วงเวลานี้เองที่โฮจุนได้พบกับ แดฮี หญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังถูกตามจับกุมตัว เพราะพ่อของเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและตายในระหว่างหลบหนี ด้วยความสงสารโฮจุนจึงช่วยจัดงานศพให้แก่พ่อของนาง หลังจากนั้นไม่นานธุรกิจค้าของเถื่อนของโฮจุนก็ถูกทหารจับได้ แต่โฮจุนก็ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อ ผู้ที่ไม่เคยไยดีและสนใจอะไรในตัวของโฮจุนเลย พ่อได้ช่วยให้โฮจุน, แดฮี และมารดาเดินทางออกจากเมืองเพื่อหลบหนีทหารไปที่เมืองซันยอง ในระหว่างการเดินทางนี้เองพ่อของแดฮีได้พ้นผิดจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ทำให้นางได้รับฐานะคืน


ด้วยความแตกต่างของฐานะของทั้งสอง โฮจุนจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปกับแม่เพียง 2 คน เมื่อถึงเมืองซันยองแม่ของโฮจุนล้มป่วยลง จากเหตุการณ์นี้เองทำให้โฮจุนได้พบกับ ยูอึยเท หมอเทวดาชื่อดังแห่งเมืองซันยอง โฮจุนเกิดความเลื่อมใสในตัวหมอจึงขอฝากตัวเองเป็นศิษย์ ระหว่างที่ศึกษาวิชาการแพทย์อยู่นี้โฮจุนได้ถูกคนงานภายในบ้านกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลา เขาต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความขยันและความฉลาดของโฮจุน จึงทำให้เค้าสามารถเรียนรู้วิชาแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว ในระหว่างนี้เองความสามารถของโฮจุนได้ดึงดูดความสนใจของ เยจิน บุตรสาวบุญธรรมของยูอึยเท โดยนางจะคอยให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำแก่โฮจุนอยู่เสมอ ซึ่งสร้างความอิจฉาให้แก่ โดจิ บุตรชายคนเดียวของยูอึยเท ที่แอบหลงรักเยจินอยู่ ส่วนแดฮีหลังจากจัดการเรื่องคดีและย้ายศพพ่อเรียบร้อยแล้ว ก็มาที่เมืองซันยองเพื่อตามหาโฮจุน


เมื่อแม่ของโฮจุนรู้เข้าจึงกีดกัน เพราะคิดว่าความต่างของฐานะจะนำภัยมาสู้ตนเองและโฮจุน จึงทำให้แดฮีตัดสินใจจะกลับบ้านตนเอง แต่ทันทีที่โฮจุนรู้เข้าก็รีบมาตามหาและตัดสินใจแต่งงานกัน หลังจากศึกษาวิชาแพทย์ไปได้ระยะหนึ่งโฮจุนก็ได้มีโอกาสเข้าไปรักษาอาการป่วยของภรรยาของเสนาบดีฝ่ายขวาที่หมอหลายคนไม่สามารถรักษาได้ แต่โฮจุนกลับรักษาได้สำเร็จเขาจึงได้รับของตอบแทนมากมาย รวมถึงจดหมายแนะนำตัวโฮจุนต่อสำนักหมอหลวง แต่หมอยูอึยเทกลับไม่เห็นด้วยจึงเผาจดหมายนั้นทิ้ง และไล่โฮจุนออกจากสถานพยาบาล เมื่อจดหมายที่เป็นใบเบิกทางความเป็นหมอถูกเผา ประกอบกับเห็นแดฮีภรรยาผู้เป็นที่รักต้องทำงานหนักเพียงเพื่อให้โฮจุนได้เป็นหมออย่างที่ฝัน ก็ยิ่งทำให้โฮจุนตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะเป็นหมอและไปทำงานอยู่ในเหมืองแทน นึกไม่ถึงว่าเหมืองกลับถล่มลงมาทำให้โฮจุนต้องไปรักษาผู้บาดเจ็บ แดฮีมาเห็นเข้าจึงขอร้องให้โฮจุนกลับไปเป็นหมอดังเดิมโฮจุนขอร้องยูอึยเทให้ตนกลับไปทำงานที่สถานพยาบาลอีกครั้ง และหลังจากนั้นไม่นานโฮจุนก็ตัดสินใจไปเมืองฮันหยางเพื่อสอบคัดเลือกหมอหลวง โฮจุนและหมอคนอื่นๆ รวมถึงโดจิเดินทางไปยังเมืองฮันหยางเพื่อสอบเป็นหมอหลวง แต่ในระหว่างทางมีผู้ป่วยมาขอความช่วยเหลือ โดยหมอทั้งหมดต่างก็อ้างว่ามีสอบหมอหลวง โฮจุนทนไม่ได้จึงตัดสินใจอยู่ตรวจผู้ป่วยทำให้ไปสอบหมอหลวงไม่ทัน ในขณะที่โดจิสอบผ่าน หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โฮจุนกลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียง และโฮจุนก็คิดได้ว่าหมอที่แท้จริงนั้นคืออะไร หลังจากนั้นโฮจุนก็กลับไปอยู่ที่เมืองซันยอง ศึกษาวิชาแพทย์กับหมอยูอึยเทและตรวจชาวบ้านต่อไปต่อไป ไม่นานนักหมอยูอึยเทก็ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรงและจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เมื่อรู้ดังนั้นยูอึยเทจึงชิงฆ่าตัวตายแล้วมอบร่างกายของตัวเองให้แก่โฮจุน ไว้สำหรับผ่าพิสูจน์เพื่อศึกษาอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์ทางการแพทย์


และในเวลาเดียวกันโดจิก็กำลังสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองอยู่ที่สำนักหมอหลวง เวลาผ่านไปไม่นานก็ถึงเวลาสอบหมอหลวงอีกครั้ง ครั้งนี้โฮจุนพร้อมแม่และแดฮีออกเดินทางไปเมืองฮันหยางด้วยกัน ครั้งนี้โฮจุนสอบผ่านการเป็นหมอหลวง ในขณะที่โดจิก็ก้าวหน้าอยู่ในหวังหลวงได้เป็นหมอหลวงขั้น 7 และเยจินได้เป็นแพทย์ชุมชน ภายในสำนักหมอหลวงนี้โฮจุนได้พบกับ ยางเยโซ หมอใหญ่ประจำสำนักหมอหลวงผู้ที่เคยแข่งขันกับยูอึยเทในอดีตและได้พ่ายแพ้ไป เนื่องด้วยเหตุนี้เองทำให้เมื่อยางเยโซรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโฮจุนกับยูอึยเท จึงจัดการให้โฮจุนไปเป็นหมอชุมชน และขัดขวางการทำงานภายในสำนักหมอหลวงอยู่เสมอ จนกระทั่งโฮจุนได้พิสูจน์ฝีมือโดยการรักษาผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคปากบูดเบี้ยว โดยทีมแพทย์ของยางเยโซและโดจิสามารถรักษาพระอนุชาของพระมเหสีกงปินได้ภายใน 5 วัน ในขณะที่โฮจุนใช้เวลารักษาผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกันเพียง 3 วันเท่านั้น ทำให้เจ้ากรมการแพทย์เกิดความสงสัยในตัวยางเยโซและโดจิ


ต่อมาอาการป่วยของพระอนุชาของพระมเหสีกงปินกำเริบขึ้นอีก ยางเยโซและโดจิหาสาเหตุของโรคที่แท้จริงไม่พบ เจ้ากรมการแพทย์จึงสั่งให้โฮจุนขึ้นถวายการรักษาแทน แต่กลับถูกยางเยโซและโดจิขัดขวางโชคดีที่ได้เยจินช่วยเหลือไว้ โฮจุนตรวจพบสาเหตุที่แท้จริงของโรคและได้กราบทูลพระราชาไป โดยโฮจุนให้คำมั่นว่าสามารถรักษาอาการป่วยนี้ได้ภายใน 5 วัน โฮจุนเพียรพยายามช่วยเหลือและทำทุกอย่างจนครบกำหนด 5 วัน ในขณะที่ยางเยโซกำลังจะลงโทษโฮจุนอยู่นั่นเอง ก็มีคนเข้ามารายงานว่าพระอนุชาของพระมเหสีหายเป็นปกติแล้ว ทำให้พระราชาทรงปูนบำเหน็จให้แก่โฮจุน ประกอบกับเห็นว่าโฮจุนทำความดีความชอบมากมายที่หมอชุมชน โฮจุนจึงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นหมอหลวงขั้น 7 ส่วนโดจินั้นถูกจับได้ว่ามีสัมพันธ์กับหมอหญิงในวัง จึงถูกลดขั้นและถูกสั่งให้ไปเป็นหมอติดตามคณะทูตเดินทางไปเมืองจีน ต่อมาเรื่องในอดีตที่โฮจุนเคยเป็นนักโทษค้าของเถื่อนถูกเปิดเผยทำให้เขาได้รับโทษประหารชีวิต


แต่ด้วยผลงานมากมายของโฮจุนที่สามารถรักษาพระอาการของพระมเหสีกงปินและโอรสทั้งสองได้ ทำให้พระราชาได้พระราชทานอภัยโทษให้แก่โฮจุนท่ามกลางการคัดค้านของขุนนางทั้งหลาย ต่อมาไม่นานนักเกิดสงครามขึ้นระหว่างชอนโซและญี่ปุ่น เพื่อความปลอดภัยของพระราชาจึงได้มีการอพยพคนในวังหนี ส่วนโฮจุนกลับเป็นห่วงตำราแพทย์จึงตัดสินใจกลับไปนำตำราแพทย์ที่วังหลวง ซึ่งทำให้เขาพลัดพรากกับครอบครัว เมื่อตามไปถึงพระราชากลับทรงไม่เข้าใจด้วยความเกรงพระอาญาโฮจุนจึงหนีไปและได้ออกตามหาครอบครัว ในระหว่างนี้เองโดจิได้กลับมาอยู่กับสำนักหมอหลวงและถวายการรักษาองค์ชาย แต่ไม่สามารถรักษาได้ทำให้ได้รับโทษถูกขังอยู่ในคุก ภายหลังพระราชาประชวรจึงทำให้ต้องเรียกตัวโฮจุนกลับมาถวายการรักษา โฮจุนแสร้งทำเป็นแขนเจ็บไม่สามารถฝังเข็มได้จึงต้องให้โดจิฝังเข็มแทน จนกระทั่งสามารถรักษาพระราชาได้สำเร็จทำให้โดจิพ้นโทษ


ทางด้านโฮจุนก็ได้รับความดีความชอบมากมายจึงได้เลื่อนขั้นเป็นหมอหลวงขั้นที่หนึ่ง แต่ช่วงเวลาสงบมักอยู่ได้ไม่นาน วังหลวงเกิดศึกภายในขึ้นระหว่างองค์ชาย 2 พระองค์ กระทั่งวันหนึ่งองค์ชายทั้ง 2 ประชวรพร้อมกัน ทำให้โฮจุนตัดสินใจลำบากว่าจะไปรักษาพระองค์ใดก่อน เนื่องจากว่าสามารถดูแลองค์ชายได้เพียงพระองค์เดียว โฮจุนจึงเลือกที่จะรักษา องค์ชายกวางไห่จิน ต่อมาพระราชาทรงป่วยหนัก โฮจุนได้ถวายการรักษาแต่ไม่สามารถรักษาได้ทันและได้สวรรคตลง ทั้งที่ยังไม่ได้มีพระราชองค์การแต่งตั้งองค์รัชทายาทแต่อย่างใด จากการแย่งชิงอำนาจกันภายในประกอบกับการที่โฮจุนไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน ทำให้โฮจุนต้องโทษฐานไม่สามารถรักษาพระราชาได้จึงถูกเนรเทศไปแดนใต้ ระหว่างที่โฮจุนถูกเนรเทศนั้นมีชาวบ้านผู้ที่ได้ยินกิตติศัพท์โฮจุนเข้ามาขอรับการรักษา โฮจุนทนคำรบเร้าของชาวบ้านไม่ได้จึงออกรักษาชาวบ้านอีกครั้ง


โดยขอให้ชาวบ้านปิดเรื่องนี้เป็นความลับ พร้อมกันนี้โดจิก็ได้แอบส่งตำราแพทย์และข้อมูลต่างๆ มาให้แก่โฮจุน จนกระทั่งโฮจุนสามารถเขียนตำราแพทย์ได้สำเร็จ เมื่อพระราชาองค์ปัจจุบันได้ทอดพระเนตรเห็นตำราแพทย์ฉบับนี้ก็มีคำสั่งเรียกตัวโฮจุนคืนมา และมีพระบรมราชโองการงอภัยโทษแก่โฮจุน พร้อมกับเรียกตัวเข้าวังหลวง แต่โฮจุนกลับทูลปฏิเสธพระราชาและเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรักษาชาวบ้านต่อไป ภายหลังเกิดโรคระบาดขึ้นหมอโฮจุนตรวจรักษาคนไข้โดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเอง จนกระทั่งตนเองติดโรคระบาดนั้น แต่เขากลับนำยาทั้งหมดมารักษาคนไข้ จนในที่สุดร่างกายที่อ่อนล้าไม่สามารถทนไหว ในที่สุดหมอโฮจุนก็จบชีวิตลงท่ามกลางอ้อมกอดของภรรยา เหลือทิ้งไว้เพียงความอาลัยจากคนที่รัก และตำนานที่บันทึกถึง “หมอใจ คนยาก” ต้นตำรับตำราแพทย์อันลือชื่อของเกาหลีตำนานของคนดี “คนดีที่โลกรอ...หมอโฮจุน”

Read More

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวัติ '' อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ''

วัยเด็ก
ในวัยเด็ก ฮิตเลอร์ไม่สนิทกับบิดานัก เนื่องจากบิดาเข้มงวดในระเบียบ ลงโทษรุนแรง แต่ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก เรียนเก่งมาก และเคร่งศาสนา จนเพื่อนๆ ไว้ใจให้เป็นหัวหน้า แต่เมื่อโตขึ้น ฮิตเลอร์เริ่มตามวิชาการไม่ทัน และผลการเรียนเริ่มแย่ลง เพื่อนๆ เลิกไว้ใจ ปลดฮิตเลอร์จากการเป็นหัวหน้า และบิดาก็ดุด่าฮิตเลอร์ เกรงว่าอนาคตฮิตเลอร์จะไม่สามารถเข้ารับราชการได้ แต่ฮิตเลอร์เองไม่อยากเป็นข้าราชการ เพราะฮิตเลอร์ชอบศิลปะ เขาอยากจะเป็นจิตรกรมากกว่าข้าราชการ สิ่งนี้ทำให้ฮิตเลอร์เปลี่ยนไปสนใจในศาสตร์ต่อสู้และศิลปะ ทำให้ผลการเรียนตกต่ำลงเรื่อยๆ จนใน ค.ศ. 1903 ฮิตเลอร์ก็ซ้ำชั้น ทำให้บิดาของเขาได้ไล่ฮิตเลอร์ออกจากบ้าน แต่ 3 วันให้หลังฮิตเลอร์ก็กลับมาที่บ้าน ค.ศ. 1903 อาลัวส์ ฮิตเลอร์ (Alois Hitler) บิดาของอดอล์ฟ และครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองลินซ์ (Linz) ภายหลังอาลัวส์เสียชีวิตลงในวัย 65 ปี ค.ศ. 1907 คลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler) มารดาของอดอล์ฟ เสียชีวิตลงด้วยวัย 47 ปี ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งนั่น ทำให้ฮิตเลอร์หนีห่างออกจากอลัวส์ บิดาของเขา ไปอยู่กับป้าของเขาในเวียนนา ค.ศ. 1909 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมัน
วัยผู้ใหญ่

นระยะเวลาที่ฮิตเลอร์เป็นจิตรกรคนยาก เขาทำผลงานขายให้กับคนยิวคนหนึ่ง ทำให้เขามีขนมปังกินไปวันๆ และไม่นานฮิตเลอร์ได้พบกับความสุขที่เรียกว่าความรัก เธอเป็นหญิงที่สวยงามและมีฐานะดีพอสมควร เป็นส่วนที่ทำให้ฝ่ายชายเกรงและอายที่จะขอหล่อนแต่งงาน ขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็ไปคบกับหนุ่มชาวยิวและทั้งคู่ก็แต่งงานกัน ขณะที่ฮิตเลอร์เองก็ตกงานและในใจเขามีความแค้นอย่างมากในเวลานั้น (นี้อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ฮิตเลอร์เองจดจำและเก็บไว้ในใจ) ค.ศ. 1914 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นแนวหน้าของทัพบกเยอรมัน เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในตอนนั้นฮิตเลอร์ยังเป็นแค่พลทหารเขาอยู่ในหน่วยรบแนวหน้า เขาจะตายหลายครั้งแต่ก็รอดมาได้ ในไม่นานด้วยความกล้าของเขาทำให้เขาได้ติดยศสิบตรี (จากนี้จะเห็นได้ว่าจากคนที่เดิมทีไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ได้สร้างตัวเองด้วยความกล้า จนเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่) ค.ศ. 1916 เศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำจากภาวะสงคราม บ้านเมืองจลาจลวุ่นวาย ข้าวยากหมากแพง ซึ่งทำให้ความกดดันนั้น ทำให้ฮิตเลอร์เกิดอุดมการณ์รักชาติขึ้นมา และเริ่มปลุกระดมชาวบ้านให้สู้ และอุดมการณ์อันแรงกล้าของฮิตเลอร์ ทำให้ฮิตเลอร์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงแคบ และเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตการเมืองของฮิตเลอร์ ค.ศ. 1919 ฮิตเลอร์เข้าร่วมกับพรรคนาซี และในปีเดียวกันนี้ เยอรมันได้ทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเยอรมันเสียเปรียบอย่างชัดเจน ทำให้อุดมการณ์ของฮิตเลอร์โดดเด่นขึ้นมา ฮิตเลอร์จึงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และพรรคนาซี ก็เริ่มมีคนเยอรมันสมัครเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก ค.ศ. 1921 ฮิตเลอร์ได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซี โดยพรรคนาซีในยุคฮิตเลอร์มีนโยบายต่อต้านชาวยิว และลัทธิสังคมนิยม ค.ศ. 1923 ฮิตเลอร์พยายามก่อการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกตัดสินจำคุก ในระหว่างจำคุกนี้ เขาได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" (Mein Kampf) ค.ศ. 1924 ฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนกำหนด และเริ่มดำเนินกิจกรรมการเมืองต่อ ค.ศ. 1927 ฮิตเลอร์ถูกสั่งห้ามปราศรัยในที่สาธารณะ ค.ศ. 1932 ในการเลือกตั้งในเยอรมนี พรรคนาซีได้รับเลือก 230 ที่นั่ง จาก 608 ที่นั่งในสภาขณะนั้น ทำให้อำนาจฮิตเลอร์มีสูงขึ้น ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์ยกเลิกสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญ และได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์ควบตำแหน่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ประมุขของรัฐ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือที่เรียกกับว่า ผู้นำ หรือ ฟือเรอร์ (Fuhrer) ค.ศ. 1935 เยอรมันก่อตั้งกองทัพอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการ ค.ศ. 1939 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเยอรมันและฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่นและอิตาลี) ได้ยึดครองยุโรปได้เกือบทั้งทวีป ฮิตเลอร์ได้ใช้นโยบายด้านเชื้อชาติ ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งทำให้ผู้บริสุทธิ์ตายไปอย่างน้อย 11 ล้านคน โดยเป็นชาวยิวถึง 6 ล้านคน ฮิตเลอร์เปลี่ยนแปลงเยอรมันจากประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาเป็นมหา อำนาจของโลก แต่ฝ่ายพันธมิตร นำโดยประเทศแกนนำได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต (รัสเซียในปัจจุบัน) สหราชอาณาจักร สามารถ เอาชนะเยอรมนีลงได้ใน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์จบชีวิตโดยการยิงตัวตายพร้อมภรรยาชื่อ อีวา บราวน์ ซึ่งกินยาพิษเป็นการฆ่าตัวตาย ในหลุมหลบภัยเบอร์ลินเพื่อหนีการถูกจับเป็นเชลย อย่างไรก็ดี ไม่มีใครพบศพของฮิตเลอร์เลย จึงเชื่อว่า หน่วยชุทต์สตัฟเฟิล (เอสเอส) เผาศพของเขาเพื่อไม่ให้โซเวียตเอาไปแห่ประจานเฉกเช่นเบนิโต มุสโสลินี


ลักษณะนิสัย

ตามข้อมูลฝั่งตะวันตก ฮิตเลอร์เป็นคนอารมณ์ร้าย และมักจะเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาขั้นต้นนี้ แพทย์ประจำตัวของเขายืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยความจริงแล้ว ฮิตเลอร์ไม่ใช่คนโมโหร้าย แต่หากมีใครเถียงนอกเรื่องข้างๆ คูๆ เขาก็จะตะเบ็งเสียงดังจนกลบเสียงคู่สนทนาหมดทุกคน

ฮิตเลอร์ชอบจูบมือ ผู้หญิง ชอบเลขานุการหญิงมากชนิดที่ว่า ถ้าพวกเธอป่วย เขาก็จะไปเยี่ยมเลยทีเดียว และเขาเป็นคนรักสะอาดมาก ชอบอาบน้ำวันละหลายๆ ครั้ง เสื้อผ้าส่วนตัวก็รักษาให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เครื่องแบบของเขาก็มีแค่ตรา "กางเขนเหล็ก" ที่ได้มาเมื่อครั้งเขาเป็นนายทหารเยอรมันเท่านั้น เขาไม่ชอบลูบสุนัขด้วยมือเปล่า หากลูบแล้วเขาก็รีบไปล้างมือโดยไว ฮิตเลอร์ยังชอบทำอะไรซ้ำๆ เช่น เวลาออกไปเดินเล่นก็ชอบเดินทางเดิมที่เคยเดิน ฮิตเลอร์เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก เขามีหนังสือมากถึง 16,000 เล่มซึ่งถูกเก็บไว้ในห้องสมุดส่วนตัว ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเกี่ยวกับสงคราม อัตชีวประวัติของบุคคลต่างๆ ศิลปะ และประวัติศาสตร์ ด้วยความที่เขาชอบอ่านหนังสือ เขาจึงสามารถบอกรูปร่างและลักษณะของเรือรบแบบต่างๆ และรอบรู้ในเรื่องยุทโธปกรณ์ของกองทัพเยอรมันเป็นอย่างดี และเขามีความจำที่เยี่ยมมาก สามารถจำได้ว่า เรือรบของราชนาวีเยอรมันนี (Kreigsmarine) มีระวางขับน้ำ
กี่ตัน ปล่อยออกมาจากท่าเรือไหน วันที่ใด ติดอาวุธอะไรบ้าง ฯลฯ ฮิตเลอร์ยังเป็นคนรอบรู้ด้านอาวุธและยุทธวิธี จนไคเทล และเดอนิทซ์ชื่นชมเขาเลยทีเดียว นอกจากนี้ ฮิตเลอร์ยังเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ เช่น เขาบอกว่าจะฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทันทีเมื่อเป็นผู้นำ และเขาก็ฉีกจริงๆ เมื่อเขาได้เป็นผู้นำเยอรมนี

ฮิตเลอร์เป็นคนชอบศึกษาเรื่องเครื่อง ยนต์กลไก แต่ไม่คิดที่จะขับรถเอง ชอบเทคโนโลยี ชอบวิทยาศาสตร์ ชอบการคิดสร้างสรรค์สิ่งที่มหัศจรรย์ เป็นคนไม่ย่อท้อมีกำลังใจสูง ชอบจินตนาการ ชอบศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบเล่นภาพสีน้ำมัน ไม่ชอบฟังวิทยุ แต่ชอบฟังเพลงในอุปรากรของริชาร์ด วากเนอร์ ชนิดที่เขายกวากเนอร์ให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาดนตรีเลยทีเดียว


ชีวิตส่วนตัว

จะเรียกว่า "ผู้นำที่ใครๆต้องการ" ก็ได้ เพราะว่าถึงแม้ฮิตเลอร์จะเป็นถึงผู้นำแห่งเยอรมนีที่มีอำนาจมาก แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตฟู่ฟ่าเลย ผิดกับผู้นำหลายๆ คน เช่น เขาดื่มชาชนิดที่สามัญชนดื่ม อาหารที่เขากินก็เป็นแบบที่สามัญชนกิน (อาหารจานโปรดของเขาคืออาหารกรรมกรแบบ "หม้อเดียว" ที่ประกอบด้วยถั่วเป็นส่วนมาก) บ้านของเขาก็ไม่ใช่บ้านที่ใหญ่โตหรูหราเช่นกัน ยกเว้นบ้านที่แบร์กเชสการ์เทิน ที่ตั้งอยู่บนเขาสูง 2,600 เมตร มีขนาดใหญ่มาก มีลิฟต์หุ้มเกราะสำหรับขึ้นลงอุโมงค์ 16 ตัว ที่พักใต้ดิน 3,000 คน มีห้องนอนอย่างดี มีอาวุธ กระสุน แชมเปญ ที่เก็บเอกสารมากมาย ซึ่งเป็นทั้งที่ประชุมลับและป้อมปราการไปในตัว

แม้แต่ในสนามรบ ฮิตเลอร์ก็ชอบที่จะอยู่กับทหาร อย่างเช่นตอนบัญชาการสนามอยู่แถบปรัสเซียตะวันออก แม้จะต้องนอนบนเตียงไม้ฉาแข็งๆ ผ้าห่มบางๆ เขาก็จะทำ เพราะเขาคิดว่าเป็นวิธีที่ทำให้เขารู้ถึงกำลังใจของทหารได้ดี สิ่งนี้จึงทำให้ทหารเยอรมันมีขวัญกำลังใจที่ดี ถึงกระนั้น ฮิตเลอร์เองก็ไม่บังคับให้ทหารคนอื่นๆต้องอยู่ลำบากเช่นเดียวกับเขา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นายพลบางคน เช่น เฮอร์มานน์ เกอริง จึงอยู่อย่างสุขสบาย

จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ อาจสรุปได้ว่า ฮิตเลอร์เป็นคนพอเพียง และมีน้ำใจกับคนอื่นในทางอ้อมอีกด้วย
ผลงาน

1.สั่งให้สร้างทางหลวงเยอรมันนี หรือออโตบาห์น (Autobahn) เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
2.ก่อ ตั้งแบรนด์รถยนต์โฟล์คสวาเก้น (แปลว่ารถยนต์ของประชาชน) และสั่งให้ออกแบบรถโฟล์คสวาเก้น บีทเทิล (หรือรถโฟล์คเต่า) ซึ่งฮิตเลอร์กำหนดว่าต้องมีสมรรถนะดีพอ ประโยชน์ใช้สอยมากพอ และราคาถูกเท่ารถจักรยานยนต์ (ในสมัยนั้น) อีกด้วย โดยผู้ออกแบบรถ คือ เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่ ผู้ให้กำเนิดรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ (Porsche)






ขอบคุณ http://th.wikipedia.org/

Read More